ดอยหลวงเชียงดาว
เมื่อพูดถึงดอยหลวงเชียงดาว นักท่องเที่ยวบางกลุ่มอาจรู้จักสถานที่นี้ในนามของบ้านพัก รีสอร์ทเอกชน หรือจุดชมวิวที่มองเห็นทิวเขา เนื่องจากดอยหลวงเชียงดาวเป็นเขาสูงทอดยาวรายล้อมไปด้วยที่พักมากมาย จึงทำให้ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วประเทศได้ตลอดทั้งปี
แต่นอกจากการชื่นชมภูเขาลูกนี้จากด้านล่างแล้ว ลึกเข้าไปใจกลางป่ายังคงมีเส้นทางเดินเท้าที่ทำให้เราขึ้นไปเหยียบอยู่บนจุดสูงสุดของดอยหลวงเชียงดาวได้อีกด้วย การได้รับขนานนามว่า ดอยหลวง หรือ เขาหลวงนั้นมีเพียงไม่กี่แห่ง คำว่า หลวง เปรียบเสมือนความยิ่งใหญ่ สูงชัน หรือเป็นสถานที่ที่มีความสำคัญด้านประวัติศาสตร์
เช่นเดียวกับดอยหลวงเชียงดาวแห่งนี้ที่ชาวบ้านเคยเรียกกันว่า ดอยอ่างสลุงเชียงดาว คำว่า เชียงดาวนั้นเพี้ยนมาจากคำว่าเพียงดาว หมายถึงความสูงของยอดดอยแห่งนี้สูงเพียงเดือนเพียงดาว
ซึ่ง ดอยหลวงเชียงดาวสูงเป็นอันดับ 3 ของประเทศไทย แต่หากมองในแง่ของเส้นทางเดินป่าเต็มรูปแบบ สถานที่แห่งนี้ถือว่าเป็นเส้นทางเดินป่าที่สูงที่สุด เนื่องจากดอยอินทนนท์ที่สูงเป็นอันดับ 1 และดอยผ้าห่มปกที่สูงรองลงมานั้น เป็นเพียงเส้นทางศึกษาธรรมชาติระยะสั้น ที่สามารถเดินทางด้วยรถยนต์จนเกือบถึงยอดเขา ต่างจากดอยหลวงเชียงดาวที่เรียกได้ว่าเดินกันครึ่งค่อนวัน
นอกจากสมญานามที่ยิ่งใหญ่แล้ว ที่นี่ยังมีความสำคัญในแง่อื่นๆอีกด้วย เช่น เป็นเขาหินปูนโบราณที่มีอายุหลายร้อยล้านปี มีร่องรอยของสิ่งมีชีวิตเก่าแก่อย่างปะการัง และหอย เป็นป่าที่มีพืชท้องถิ่นเติบโตอยู่จำนวนมาก
รวมทั้งเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าหายากหลายชนิด เช่น ผีเสื้อสมิงเชียงดาว ไก่ฟ้าหางลายขวาง และกวางผา เมื่อประกอบกับเส้นทางธรรมชาติที่ท้าทายพลังกาย ทิวทัศน์ และสภาพอากาศที่ดึงดูดใจ
ดอยหลวงเชียงดาวจึงเป็นอีกหนึ่งเส้นทางเดินป่าที่นักท่องเที่ยวต่างหมายปองพิชิตมัน
ดอยหลวงเชียงดาวอยู่ในการดูแลของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ เป็นอีกหนึ่งเส้นทางเดินป่าที่ต้องจองคิวก่อนการขึ้นเดิน
โดยทุกปีจะมีกำหนดการ และการจำกัดจำนวนคนที่ไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมที่เจ้าหน้าที่อุทยานประเมิน หรือบางปีหากมีไฟป่าก็อาจปิดเส้นทางเดินป่าอย่างไม่มีกำหนด
แต่หากมีกำหนดการออกมาแล้ว นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปจองคิวในระบบออนไลน์ ที่เว็บไซต์ www.chiangdao-wildlife.com
โดยจะต้องทำการจองล่วงหน้าอย่างน้อย 5 วัน อาจจะมีโควตาในการเดินป่าอาทิตย์ละประมาณ 100 ถึง 150 คน หากแบ่งเป็นกลุ่มละ 10 คน จะมีจำนวน 10 ถึง 15 กลุ่มเท่านั้น
โดยปกติจะเปิดให้เดินขึ้นเฉพาะวันศุกร์ และวันเสาร์ เนื่องจากดอยหลวงเชียงดาวเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เจ้าหน้าที่ย่อมคำนึงถึงธรรมชาติมากที่สุด
การเดินทางสู่ดอยหลวงเชียงดาว
การเดินทางไปยังดอยหลวงเชียงดาวโดยส่วนใหญ่จะเป็นการเช่ารถตู้แบบเหมา เรียกกันว่ารถตู้ VIP มีเพียง 10 ที่นั่ง ซึ่งตรงกับข้อกำหนดของอุทยานหลายแห่งที่มักจัดให้ 1 กลุ่ม มี 10 คน
โดยราคาเหมาจะอยู่ระหว่างวันละ 1,800 บาท ถึง 2,000 บาท ไม่รวมค่าน้ำมัน ซึ่งส่วนใหญ่การเดินป่าจะอยู่ในช่วงเวลา 3 ถึง 4 วัน ค่าน้ำมันประมาณ 5,000 บาท
กำหนดการวันแรก นักท่องเที่ยวจะต้องมาถึงเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดอยหลวงเชียวดาวในช่วงเวลาไม่เกิน 08:00 น. เพื่อทำเรื่องลงทะเบียนขออนุญาตเดินป่า ในจุดนี้จะต้องจ่าย
- ค่ามัดจำขยะ 1,000 บาท ต่อกลุ่ม
- ค่ารถเหมาสำหรับขนส่งนักท่องเที่ยวขึ้นไปยังจุดเดินป่าคันละ 1,800 บาท โดยต้องใช้ 2 คัน เพราะต้องรวมลูกหาบกับเจ้าหน้าที่ด้วย
- ลูกหาบจะมีค่าบริการ 500 บาทต่อวัน หาบของได้ประมาณ 20 กิโลกรัม
ทางเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าจะมีการอบรมนักท่องเที่ยวเรื่องกฎระเบียบต่างๆก่อนขึ้นไปเดินป่า เจ้าหน้าที่จะมอบถุงดำ ถุงปัสสาวะพกพา ให้กับนักท่องเที่ยวทุกคนสำหรับการขับถ่าย
หลังจากนั้นจึงออกเดินทางไปยัง หน่วยขุนห้วยแม่กอก เรียกเส้นทางนี้ว่า เด่นหญ้าขัด จะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง เส้นทางเต็มไปด้วยฝุ่น ค่อนข้างขรุขระและอันตราย หากอยากนั่งสบายควรรีบจองที่นั่งโดยสารด้านในรถ ในระหว่างทางจะมีจุดตรวจรับหนังสือขออนุญาต 1 จุด เมื่อผ่านจุดนี้ไปได้ระยะหนึ่ง ก็จะถึงหน่วยขุนห้วยแม่กอก หรือ หน่วยเด่นหญ้าขัด ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นในการเดินเท้า ในจุดนี้จะมีห้องน้ำไว้บริการ ควรทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อย เพราะเส้นทางจากนี้ไปจะไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆอีก
เส้นทางการเดินป่าสู่ดอยหลวงเชียงดาว
เส้นทางเดินป่าของดอยหลวงเชียงดาวจะแตกต่างจากสถานที่เที่ยวแห่งอื่น เพราะมีเส้นทางเดินป่าที่ไปยังลานกางเต็นท์ได้ถึง 2 เส้นทาง ได้แก่
- เส้นทางปางวัว มีระยะทางเพียง 6.5 กิโลเมตร แม้จะมีระยะทางที่สั้น แต่มีความชันมาก ส่วนเส้นทางเดินเท้าในขากลับ เจ้าหน้าที่มักให้นักท่องเที่ยวเดินลงทางปางวัวได้ เนื่องจากใกล้กับจุดจอดรถที่มาคอยรับนักท่องเที่ยว มีถนนลาดยางซึ่งทำให้สะดวกมากกว่า
- เส้นทางเด่นหญ้าขัด มีระยะทางประมาณ 8.5 กิโลเมตร ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวจะได้เดินเท้าในเส้นทางเด่นหญ้าขัด ซึ่งแม้ว่ามีระยะทางที่ค่อนข้างไกล แต่เดินง่ายกว่า
สภาพอากาศ
ดอยหลวงเชียงดาวจะเปิดเส้นทางในช่วงเดือนพฤศจิกายน ถึง เดือนมีนาคม สภาพอากาศบนดอยจึงค่อนข้างหนาวเย็น แม้ช่วงกลางวันจะมีแดดบ้าง แต่เส้นทางก็เต็มไปด้วยร่มไม้ ประกอบกับมีพรรณไม้แปลกตา บางจุดที่เป็นหินขนาดใหญ่
นักท่องเที่ยวอาจพบร่องรอยซากฟอสซิลของสัตว์ทะเลที่เคยอาศัยอยู่บนหุบเขาแห่งนี้เมื่อหลายร้อยล้านปีก่อน ทำให้การเดินป่าในครั้งนี้ค่อนข้างเพลิดเพลินไม่น้อย
เริ่มต้นเดินเท้าสู่ยอดดอยหลวงเชียงดาว
เมื่อสองเท้าย่ำลึกเข้าไปในหุบเขา สิ่งที่เคยซ่อนเร้นด้วยม่านไม้สีเขียวก็เริ่มปรากฏ ขุนเขาน้อยใหญ่คงเขินอายสายตาจากโลกภายนอก มันเผยตัวตนให้แก่คนที่พยายามอย่างหนักเท่านั้น
เราเคยวาดฝันถึงธรรมชาติในต่างแดน ว่ามันคงสวยงามเหนือจินตนาการ แต่เมื่อได้เห็นภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า
หลายคนคงมีคำถามกับตัวเองว่า “นี่คือธรรมชาติในดินแดนบ้านเกิดของเราจริงหรือ” เนินเขาสลับซับซ้อนสูงเสียดฟ้าถูกปกคลุมไปด้วยพืชพรรณแปลกตา ขณะนี้มนต์เสน่ห์ของธรรมชาติโอบล้อมเราไว้หมดแล้ว
แม้ว่าอยากเร่งตัวเองให้ถึงที่พักไวแค่ไหน แต่ในใจลึกๆกลับอยากหยุดนิ่ง และเสพสมกับบรรยากาศอยู่อย่างนั้น
ลักษณะของเส้นทางเดินป่าที่นี่จะคล้ายกับการเดินแหวกเข้าไปในหุบเขา ทำให้ไม่สามารถมองเห็นทิวทัศน์ภายนอกได้ ต่างจากเส้นทางเดินป่าทั่วไปที่มักจะลัดเลาะริมทาง หรือเดินบนสันเขา
แต่ถึงอย่างนั้นเส้นทางก็ไม่น่าเบื่อเต็มไปด้วยจุดถ่ายรูปมากมาย ในบางช่วงก็พบกับคาราวานลูกหาบ เป็นคณะเดินทางที่เรียกได้ว่าสร้างสีสันให้กับนักท่องเที่ยวไม่น้อย เพราะพี่ๆมักมากับเสียงเพลงจังหวะสนุกสนาน
หรือในช่วงนั่งพักก็จะได้ยินเสียงพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติ รวมทั้งรอยยิ้ม และคำพูดที่ให้กำลังใจจากเจ้าถิ่นนี่เองที่เป็นแรงผลักดันให้เราไปต่อจนถึงจุดหมาย
ในระยะทางเกือบสิบกิโลเมตรนี้ เราจะใช้เวลาเดินเท้าประมาณ 4 ถึง 5 ชั่วโมง จะมีช่วงที่เป็นทางสามแยก มีป้ายบอกทางชัดเจน ด้านซ้ายเป็นเส้นปางวัว ตรงไปเป็นเป็นยอดดอย และลานกางเต็นท์อ่างสลุง
ซึ่งขากลับนี่เองที่เราจะต้องลงทางปางวัว เมื่อใกล้ถึงลานกางเต็นท์ สภาพภูมิประเทศก็เริ่มชันขึ้นเรื่อยๆ
ลักษณะป่าโดยรอบเป็นต้นหญ้าสูงท่วมหัว มีกลุ่มหินปูนประดับประดาอยู่ทั่วไป เนินเขาบางลูกมีสภาพเป็นภูเขาหิน
หากเราเงียบ และดวงดีมากพอ ก็จะมีโอกาสได้พบเห็น “ม้าเทวดา” กวางผาประจำยอดดอย สัตว์เท้ากีบชนิดนี้จัดว่าเป็น 1 ใน 15 สัตว์ป่าสงวน และอยู่ในบัญชีสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ อาศัยอยู่ในบริเวณป่าทางภาคเหนือไม่กี่แห่งเท่านั้น นี่จึงเป็นสาเหตุของกฎระเบียบที่ค่อนข้างเข้มงวด โปรดระลึกไว้เสมอว่าการมีจิตสำนึกเคารพสัตว์ป่า และธรรมชาติเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะความจริงแล้วเราเป็นเพียงผู้มาเยือนเท่านั้น
กางเต็นท์อ่างสลุง
สิ่งแรกที่ต้องทำเมื่อมาถึงลานกางเต็นท์อ่างสลุง คือหาสัมภาระของตนเองที่มากับลูกหาบ เนื่องจากบริเวณลานกางเต็นท์จะไม่ใช่พื้นที่โล่งที่มองเห็นได้ง่ายนัก ลักษณะพื้นที่แม้จะไม่มีต้นไม้ใหญ่รกทึบ แต่ประกอบไปด้วยทุ่งหญ้าสูงท่วมหัว จะมีพื้นที่โล่งเตียนเฉพาะจุดที่กางเต็นท์เท่านั้น ซึ่งแต่ละจุดจะกางเต็นท์ได้ประมาณ 3 ถึง 5 หลัง
เส้นทางเดินภายในบริเวณลานกางเต็นท์คล้ายกับเขาวงกต ที่จะแบ่งเป็นซอยหรือทางเล็กๆสำหรับเดินไปยังเต็นท์ของตนเอง อาจเป็นเพราะเจ้าหน้าที่ต้องการให้พื้นที่สมบูรณ์มากที่สุด รบกวนธรรมชาติน้อยที่สุด
เพราะฤดูกาลท่องเที่ยวมีเพียงแค่ 2 ถึง 3 เดือนเท่านั้น แต่สัตว์ป่า และพืชพรรณที่นี่ ยังคงอาศัยหากินตลอดชั่วชีวิตของมัน
ลานกางเต็นท์จึงไม่มีบริการร้านขายของชำ หรือเปิดให้เช่ายืมอุปกรณ์ต่างๆ ทั้งนี้เพื่อลดขยะ และไม่ให้มีสิ่งปลูกสร้างใดๆเพื่อรบกวนสัตว์ป่า
แต่อย่างน้อยก็มีห้องน้ำ ซึ่งเป็นห้องน้ำแบบชั่วคราวเท่านั้น ลักษณะเป็นเสาไม้ปักสี่มุมขนาดกะทัดรัด ขึงกั้นด้วยผ้าไวนิล ตั้งกระจายตามจุดต่างๆ ภายในห้องน้ำไม่ใช่ส้วมหลุม แต่ทำเป็นเก้าอี้พลาสติกเจาะรูด้านบนตรงกลาง นักท่องเที่ยวจะต้องนำถุงดำสวมคลุมเก้าอี้เพื่อถ่ายหนัก จากนั้นจึงนำถุงดำไปทิ้งในส่วนที่เจ้าหน้าที่จัดเตรียมไว้ให้เพื่อทำการฝังกลบให้ย่อยสลายต่อไป
ส่วนการถ่ายเบาจะต้องใช้ถุงปัสสาวะพกพา ซึ่งด้านในถุงจะสารเคมีบางอย่างสามารถทำให้ของเหลวกลายเป็นเจลได้ นักท่องเที่ยวจะต้องนำถุงปัสสาวะกลับลงมาด้านล่างพร้อมกับขยะอื่นๆ เนื่องจากย่อยสลายยาก ส่วนเรื่องของอาหารการกิน ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเตรียมไปด้วย โดยเส้นทางที่ไปยังเขตรักษาพันธุ์ป่าเชียงดาวจะมีตลาดสดเชียงดาว สามารถแวะซื้ออาหารสด อาหารแห้ง น้ำดื่มได้จากตลาด
จุดชมวิวของดอยหลวงเชียงดาว
จุดชมวิวของดอยหลวงเชียงดาวจะมีทั้งหมด 2 แห่ง ได้แก่
- ยอดดอยหลวงเชียงดาว ซึ่งเป็นจุดสูงสุด ซึ่งโดยปกติแล้ว เมื่อมาถึงลานกางเต็นท์ในช่วงบ่าย ควรขึ้นไปยังจุดชมวิวยอดดอยหลวงเชียงดาวเพื่อชมพระอาทิตย์ตก เนื่องจากร่างกายเหนื่อยล้าพอสมควร ประกอบกับจุดชมวิวแห่งนี้มีระยะทางไม่ไกลมาก เมื่อตะวันลับขอบฟ้าและเริ่มมืดลงแล้ว ยังพอมีเวลาให้เดินกลับที่พักได้ทัน
- จุดชมวิวกิ่วลม ซึ่งจะต้องเดินเท้าไกลพอสมควร
จุดสูงสุดของยอดดอยหลวงเชียงดาว
จุดสูงสุดของยอดดอยหลวงเชียงดาว จะอยู่หลังลานกางเต็นท์ ใช้เวลาเดินเท้าประมาณ 40 นาที เส้นทางมีความชันพอสมควร
การแต่งกายควรเป็นชุดเดินป่าเช่นเดิม ควรมีถุงมือ เสื้อกันหนาว ไม้เท้าเดินป่า น้ำดื่ม และไฟฉายติดตัวขึ้นไปด้วย
บริเวณยอดเขาเป็นลานกว้างราบเรียบ รองรับนักท่องเที่ยวได้ประมาณ 50 คน แต่ช่วงระหว่างทางก็มีอีกหลายจุดให้แวะพักนั่งเล่นหรือเป็นมุมถ่ายรูปได้
เมื่อตะวันคล้อยต่ำลง เส้นสีส้มเริ่มปรากฏตรงขอบฟ้า เมื่อนั้นเราก็จะพบกับความแตกต่างระหว่างยอดเขาทั่วไป กับยอดเขาที่สูงร่วมสองพันเมตร ความสูงใหญ่ของดอยหลวงเชียงดาวยกตัวเราให้อยู่เหนือดวงตะวัน
ด้านล่างใกล้ตีนเขาคือเต็นท์หลากหลายสีสันของเพื่อนร่วมทางที่บัดนี้ดูเล็กจิ๋วราวกับมด
ไกลออกไปเบื้องหน้าคือยอดเขาบริวารน้อยใหญ่ ณ ครึ่งขอบโลก พระอาทิตย์กำลังส่งสัญญาณสุดท้ายมาเพื่อโบกมือลา
แสงแดดอุ่นที่แสนแผ่วบางมีค่าอย่างยิ่งในช่วงเวลาเย็นย่ำเช่นนี้ อากาศหนาวยะเยือกบนยอดดอยสูงคืบคลานมาอย่างแช่มช้าแต่รุนแรง หน้าปัดอิเล็กทรอนิกส์แจ้งอุณภูมิที่ -1 องศาเซลเซียส
ชมพระอาทิตย์ตกจากยอดเขา
ขณะเวลา 18:00 น. ความเย็นจัดกัดกินผิวหนัง จนรู้สึกเจ็บแปลบ การกระดิกนิ้วเพื่อลั่นชัตเตอร์กล้อง กลายเป็นเรื่องยากไปเสียอย่างนั้น แม้กล้ามเนื้อจะแทบหยุดนิ่ง
แต่ภาพตรงหน้ากลับทำให้หัวใจเต้นโครมครามอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เมื่อแสงของวันเปลี่ยนสี
นักท่องเที่ยวเริ่มทยอยเดินลงจากยอดเขา แต่การเดินลงนั้นไม่ง่าย เพราะหินแหลมคม ความมืด และทางลาดชันกลายเป็นอุปสรรคอย่างมาก
หลายคนมีไฟฉาย แต่ต้องใช้มือข้างใดข้างหนึ่งถือส่องไปด้วย ทำให้การพยุงตัวนั้นลำบาก
ผู้ที่มีประสบการณ์จึงมักเลือกใช้ไฟฉายชนิดที่คาดศีรษะได้ เพราะสองมือยังสามารถปีนป่าย หยิบจับ และทำกิจกรรมอย่างอื่นได้สะดวกกว่า
เมื่อฉากการแสดงของพระอาทิตย์จบลง ก็ถึงคราวดวงดาวเริ่มอวดโฉม นักท่องเที่ยวส่วนหนึ่งยังคงปักหลักอยู่บนยอดเขา ท้องฟ้าเบื้องบนคล้ายถูกคลุมไว้ด้วยผืนผ้าใบสีดำสนิท แต่มันสุกสกาวไปด้วยเพชรแวววับที่ประดับประดาไว้
ความสูงของยอดเขาเหมือนจะส่งตัวเราให้ไปคว้าดวงดาวที่ลอยคว้างอยู่บนนั้น แต่ความกว้างใหญ่ของจักรวาลสอนให้รู้ว่าตัวเราต่ำเตี้ย และเล็กจ้อยเพียงใด
ชมพระอาทิตย์ขึ้นที่จุดชมวิวกิ่วลม
เวลาประมาณ 05:00 น. นักท่องเที่ยวจะต้องฝืนใจเหยียดตัวออกมาจากถุงนอนที่แสนอบอุ่น เพราะจุดชมวิวกิ่วลมมีระยะทางที่ค่อนข้างไกล
การเตรียมตัวไม่ต่างจากการเดินขึ้นไปบนยอดดอยหลวงเชียงดาว แต่ข้อสำคัญที่สุดคือควรรอเจ้าหน้าที่ หรือรอให้มีการรวมตัวเพื่อเดินไปพร้อมกันเป็นกลุ่ม เนื่องจากเส้นทางค่อนข้างรกทึบ ประกอบกับเป็นเวลาเช้ามืด
หากเดินไปคนเดียวอาจทำให้หลงทางหรือพบเจอสัตว์ป่าที่กำลังหากินอยู่ ซึ่งอาจเกิดอันตรายได้
ในช่วงของการเดินขึ้นไปยังยอดกิ่วลม จะเป็นสันเขาที่ต้องลัดเลาะริมทาง มีความลาดชัด และค่อนข้างลื่น ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างมาก
บนจุดชมวิวเต็มไปด้วยต้นไม้ขนาดเล็ก และก้อนหินโบราณตั้งระเกะระกะอยู่มากมาย แม้จะไม่เป็นลานกว้างราบเรียบ แต่ก็มีพื้นที่เพียงพอสำหรับรองรับนักท่องเที่ยว
เมื่อหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ยอดดอยหลวงเชียงดาวจะอยู่ทางซ้ายมือ จากมุมนี้เองทำให้เราเห็นพื้นที่สีเขียวด้านล่างที่ไกลลิบโดยไม่มีทิวเขากั้นสายตา
ปุยเมฆหมอกสีขาวบางๆคลี่ผืนกระจายอยู่ใต้ฝ่าเท้าเรา นักท่องเที่ยวคงผิดหวังเล็กๆที่ไม่ได้เห็นทะเลหมอกฟุ้งอยู่ใกล้ตัว แต่ถึงอย่างนั้นเชื่อว่าหลายคนเข้าใจกฎเกณฑ์ของธรรมชาติเป็นอย่างดี ทุกคนย่อมเคยพบเจอกับเรื่องผิดหวัง แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่การยอมรับ และเข้าใจในความเป็นไป
ช่วงการเดินลง
หลังกลับมาจากจุดชมวิว หลายกลุ่มยังคงทำอาหารในตอนเช้า บ้างเริ่มเก็บเต็นท์ และสัมภาระต่างๆ การเดินทางกลับจะใช้ระยะทางที่สั้นลง โดยเดินเท้าแยกไปทางปางวัว เส้นทางนี้ค่อนข้างลาดชันจะต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ
เมื่อถึงจุดปางวัว จะพบกับลานจอดรถ และศาลาสำหรับพักรอ หากโชคดีจะมีพ่อค้าเจ้าถิ่นขี่มอเตอร์ไซค์เปิดร้านขายของต้อนรับเราด้วยไอศกรีมเย็นๆ หรือไม่ก็น้ำดื่มชื่นใจแก้กระหาย
แน่นอนว่าต่อให้เป็นน้ำเปล่า รสชาติของมันก็หอมหวานกว่าครั้งไหนๆที่เคยดื่มมา
หลังจากรอสมาชิกในกลุ่มจนครบทีมแล้ว รถรับส่งที่เช่าไว้ก็จะพาเรากลับไปยังที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว
นักท่องเที่ยวจะต้องนำขยะกลับมาที่ทำการเพื่อขอคืนเงินประกัน และควรจัดการสัมภาระ ค่าใช้จ่าย รวมสามารถอาบน้ำชำระล้างร่างกายได้ที่นี่
ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้ว กลุ่มนักท่องเที่ยวที่มากับรถตู้เหมา จะต้องนัดแนะเวลาให้รถตู้มารอรับ เมื่อทำธุระเสร็จแล้ว ก็สามารถเดินทางกลับได้ทันที
เมื่อยานพาหนะพาตัวเราเคลื่อนออกจากเงาของขุนเขา ภาพมุมกว้างที่ได้เห็นดอยหลวงเชียงดาวช่างดูยิ่งใหญ่
เราจ้องมองครั้งแล้วครั้งเล่าทั้งก่อนขึ้นไปเยือน และหลังจากกลับลงมาแล้ว แม้เป็นภาพเดียวกัน แต่ความรู้สึกนั้นแตกต่างโดยสิ้นเชิง จากที่เคยกลัวว่าร่างกายจะไม่ไหวก็เดินจนจบเส้นทาง จากที่คิดว่าจะกินไม่ได้นอนไม่หลับ ก็ผ่านค่ำคืนนั้นมาได้
จากที่คาดว่าตัวเองคงอยู่ไมได้แน่หากไร้ซึ่งสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ก็ผ่านมาได้อย่างไม่ยากเย็นนัก หลายสิ่งที่เราเคยปรามาสตัวเองว่าทำไม่ได้ แต่สุดท้ายกลับทำได้ดี
ธรรมชาติสอนให้มนุษย์รู้จักปรับตัว และพึ่งพาตนเอง ทุกครั้งที่ผ่านอุปสรรคมาได้ เราจะเริ่มรู้สึกว่าตนเองแข็งแกร่ง แท้จริงแล้วอาจไม่ใช่ร่างกายที่แข็งแรงไปมากกว่าเดิม แต่เป็นหัวใจต่างหากที่ไม่เคยยอมแพ้
1 Comment
[…] การเดินทางไปยัง ดอยหลวงเชียงดาว โดยส่วนใหญ่จะเป็นการเช่ารถตู้แบบเหมา เรียกกันว่ารถตู้ VIP มีเพียง 10 ที่นั่ง ซึ่งตรงกับข้อกำหนดของอุทยานหลายแห่งที่มักจัดให้ 1 กลุ่ม มี 10 คนโดยราคาเหมาจะอยู่ระหว่างวันละ 1,800 บาท ถึง 2,000 บาท ไม่รวมค่าน้ำมัน ซึ่งส่วนใหญ่การเดินป่าจะอยู่ในช่วงเวลา 3 ถึง 4 วัน ค่าน้ำมันประมาณ 5,000 บาทกำหนดการวันแรก นักท่องเที่ยวจะต้องมาถึงเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดอยหลวงเชียวดาวในช่วงเวลาไม่เกิน 08:00 น. เพื่อทำเรื่องลงทะเบียนขออนุญาตเดินป่า ในจุดนี้จะต้องจ่ายค่ามัดจำขยะ 1,000 บาท ต่อกลุ่มค่ารถเหมาสำหรับขนส่งนักท่องเที่ยวขึ้นไปยังจุดเดินป่าคันละ 1,800 บาท โดยต้องใช้ 2 คัน เพราะต้องรวมลูกหาบกับเจ้าหน้าที่ด้วยลูกหาบจะมีค่าบริการ 500 บาทต่อวัน หาบของได้ประมาณ 20 กิโลกรัมทางเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าจะมีการอบรมนักท่องเที่ยวเรื่องกฎระเบียบต่างๆก่อนขึ้นไปเดินป่า เจ้าหน้าที่จะมอบถุงดำ ถุงปัสสาวะพกพา ให้กับนักท่องเที่ยวทุกคนสำหรับการขับถ่าย […]